การนับถือผีของชาวอีสาน
การถือผี ความเชื่อในเรื่องผียังเป็นความเชื่อของคนแต่ละท้องถิ่น เกิดปัญหาในการดำรงชีวิตประจำวัน เช่น เมื่อชีวิตถึงคราววิบัติ เกิดโรคภัยไข้เจ็บ เกิดภัยธรรมชาติ ปัญหาเหล่านั้นเกินขีดความสามารถที่คนธรรมดาจะแก้ไขได้ คนจึงสร้างความเชื่อว่าน่าจะมีอำนาจลึกลับเหนือธรรมชาติบันดาลให้เป็นไปเช่นนั้น อำนาจนี้อาจจะเป็นเทพ เจ้าภูตผี ปีศาจ วิญญาณ สัตว์ป่า พระอาทิตย์ พระจันทร์ ดวงดาว ตลอดจน ดิน น้ำ ลม ไฟ ฉะนั้น เพื่อป้องกันภัยพิบัติที่เกิดกับตน มนุษย์จึงวิงวอนขอความช่วยเหลือจาก อำนาจลึกลับ โดยเชื่อว่า ถ้าบอกกล่าวหรือทำให้อำนาจนั้นพอใจอาจจะช่วยให้ปลอดภัย เมื่อพ้นภัยก็แสดงความรู้คุณด้วยการเซ่นสรวงบูชาหรือประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ แต่ละสังคมต่างมีความเชื่อเป็นมรดกสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน และชาวอีสานต่างเชื่อในสิ่งต่อไปนี้
๑) ผีบ้าน แต่ละหมู่บ้านในภาคอีสานจะนับถือผีประจำบ้านที่เรียกว่า “ ผีปู่ตา ” ผีปู่ตาเป็นผีที่คอยดูแลรักษาป้องกันอันตรายต่าง ๆ ที่จะมากระทำแก่คนในหมู่บ้านทุก ๆ ปี จะมีการเลี้ยงผีปู่ตามักจะเป็นป่าที่มีต้นไม้อายุนับร้อยปี เพราะชาวบ้านมีความเชื่อว่า หากไปตัดไม้หรือยิงนกภายในบริเวณดอนปู่ตา ผีปู่ตาจะโกรธาและบันดาลให้ชีวิตประสบแต่อัปมงคล ในพิธีเลี้ยงผีปู่ตานั้นเฒ่าจ่ำจะเป็นพิธีกรเพราะเฒ่าจ่ำเป็นคนกลางในการติดต่อระหว่างชาวบ้านกับผีปู่ตา เมื่อวันเลี้ยงผีบ้าน ชาวบ้านจะจัดเตรียมอาหารคาวหวานไปร่วมในพิธีเช่น ข้าวต้ม ไข่ต้ม ไก่ต้ม เหล้าขาว ปั้นข้าว ข้าวดำข้าวแดง กล้วย น้ำอ้อย น้ำตาล

๒) ผีนา หรือผีตาแฮก เป็นผีที่ทำหน้าที่อารักษ์ผืนนา คอยอำนวยผลให้ข้าวกล้างดงาม น้ำ ปลา อุดมสมบูรณ์ คลอดจนคอยคุ้มครอง วัว ควาย ให้มีสุขภาพดีเหมาะในการทำงาน ผีตาแฮก จะสถิตอยู่มุมใดมุมหนึ่งของที่นา นาแปลงใดที่ตาแฮกสถิต ชาวนาจะยกคันนาให้สูงขึ้น ก่อนจะลงมือทำนา จะต้องทำพิธีเลี้ยงผีตาแฮกเสียก่อน การเลี้ยงผีตาแฮก นั้น จะกระทำกันในวันพฤหัสบดี อาหารที่นำไปเซ่นผีตาแฮก ได้แก่ ไก่ต้ม เหล้าขาว แกลบ ข้าวต้มมัด ไข่ต้ม ข้าวดำ กล้วย น้ำอ้อย น้ำตาล เมื่อเลี้ยงตาแฮกเสร็จแล้วชาวนาก้จะปีกดำข้าวกล้าในนาแปลงที่ตาแฮกอยู่ก่อนเพื่อเป็นการเสี่ยงทายความงอกงามของข้าวในนา

๓) ผีเชื้อหรือผีบรรพบุรุษ เป็นผีเครือญาติที่ล่วงลับไปแล้ว ชาวบ้านมีความเชื่อว่าผีบรรพบุรุษยังไม่ได้ไปเกิด ยังคอยปกป้องคุ้มครองลูกหลานของตนอยู่ แต่ถ้าหากลูกหลานประพฤติไม่เหมาะสม ผีเชื้อก็จะโกรธบันดาลให้เจ็บป่วย ลูกหลานจะต้องทำการขอขมาจึงจะหายโกรธ เมื่อถึงวันโกน วันพระหรือวาระที่ทำบุญ ข้าวสากในเดือนสิบและบุญข้าวประดับดินในเดือนเก้า ลูกหลานจะต้องให้ทานอุทิศส่วนกุศลไปให้


๔)ผีปอบ ผีปอบก็คือคนที่เป็นผีเข้าสิงในร่างกายคนอื่นเรียกว่า ผีปอบเข้า เพื่อที่จะกินตับไตไส้พุงคนนั้น บางครั้งคนที่ถูกปอบเข้าจะถึงแก่ชีวิตหากไม่มีหมอผีมาขับไล่ ผีปอบที่สิงสถิตอยู่ให้ออกไป เชื่อว่าสาเหตุที่จะทำให้คนเป็นปอบนั้นมีอยู่ ๒ ประการ คือ
- เกิดจากการเรียนเวทมนตร์คาถาต่าง ๆ เช่น เสน่ห์ยาแฝดอยู่ยงคงกระพันแล้ว เวทมนตร์คาถานั้นแก่กล้าจนเกินไป หรือประพฤติปฏิบัติผิดข้อห้ามของเวทมนตร์นั้น ๆ ผลที่สุดก็กลายเป็นผีปอบ
- เกิดจากการถ่ายจากบรรพบุรุษ หากพ่อหรือแม่เป็นปอบเมื่อตายไป ผีปอบจะรีบออกจากร่างไปสิงสถิตบุคคลที่อยู่ใกล้และบุคคลนั้นจะกลายเป็นปอบทันที เมื่อผีปอบเข้าสิงร่างใคร บุคคลนั้นจะมีอาการชักกระตุกดิ้นทุรนทุราย ส่งเสียงร้องโหยหวนน่ากลัว ญาติพี่น้องต้องไปตามหมอผีมาทำพิธีขับไล่ผีปอบ โดยการใช้หวายวิเศษหรือหางกระเบนและใช้ว่านไฟเหน็บหรือจี้ลงไปตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เมื่อผีปอบทนไม่ได้ก็จะออกปากบอกว่าตนเป็นใคร มาจากไหน แล้วจึงออกจากร่างไป แต่ในบางรายถ้าผีปอบนั้นมีคาถาแก่กล้ากว่าหมอผี ผีปอบนั้นก็จะไม่ยอมออก คนที่ถูกผีปอบเข้าก็จะตายหากแก้ไขไม่ทัน เป็นที่น่าสังเกตว่า คนที่ถูกผีปอบเข้าสิงส่วนมากจะเป็นคนป่วย คนอ่อนแอ และคนขวัญอ่อน
๖) การฟ้อนผีมด ภาคอีสานเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของประเทศไทย ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศที่เต็มไปด้วยป่าเขาลำเนาไพร แต่บางแห่งก็แห้งแล้ง และบางครั้งก็ต้องประสบอุทกภัย สรุปแล้วจะเห็นได้ว่าเป็นภาคที่ได้รับภัยธรรมชาติมากเหมือนกัน และผู้คนในภาคนี้อยู่ตามชนบท ส่วนมากเชื่อถือเกี่ยวกับผีสางต่าง ๆ จึงมีพิธีการฟ้อนชนิดหนึ่งเรียกว่า “ การฟ้อนมด ” เป็นการปฏิบัติตามแนวความเชื่อนี้
การฟ้อนมด คือการฟ้อนรำเพื่อเป็นการสังเวยผีบรรพบุรุษ ประเพณีการฟ้อนผีมดนี้ ตามที่ได้ยินจากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ไดความว่า มี ๒ อย่างด้วยกันคือ
การฟ้อนผีมด และการฟ้อนผีเม็ง ซึ่งมีกรรมวิธีอย่างเดียวกัน เพียงแต่แตกต่างกันบ้างเล็กน้อยคือการฟ้อนผีมดไม่มีกระบอกน้ำปลาร้า แต่การฟ้อนผีเม็งจะมีกระบอก ใส่น้ำปลาร้าสังเวยผีด้วยการที่ใช้น้ำปลาร้า ท่านกล่าวว่าใส่ตามธรรมชาติที่ถือกันมาแต่เดิม
สันนิษฐานกันว่าเป็นเพราะว่าชาวภาคนี้ชอบรับประทานปลาร้านั้นเอง สำหรับการฟ้อนผีมดนี้มักจะทำกันในระหว่างเดือนพฤษภาคม มิถุนายน ซึ่งพวกฟ้อนผีมดคนนี้จะต้องเป็นพวกตระกูลเดียวกันและเมื่อครบรอบปี บางตระกูลก็ทำ ๓ ปีต่อครั้ง บางตระกูลก็ปีละครั้ง หรือบางตระกูลก็ไม่มีกำหนดแน่นอน เห็นว่ามีเซ่นเมื่อใดก็จัดทำกันเสียทีหรือบางทีคนในครอบครัวเกิดการเจ็บป่วยต้องบนบานผีปู่ย่าตายาย อันเป็นบรรพบุรุษ ก็ต้องทำพิธีเซ่นสรวงกันตามที่ได้บนบานไว้ ซึ่งการฟ้อนผีมดแต่ละครั้งก็จะต้องใช้จ่ายเงินทองเกี่ยวกับการเลี้ยงดูพวกญาติพี่น้องที่มาร่วมในงาน ตลอดจนชาวบ้านในละแวกเดียวกันที่มาช่วยในงานนั้นด้วย
แหล่งทีมา
http://province.m-culture.go.th
http://sps.lpru.ac.th/
เรียบเรียงโดย
รุ้งนภา สุดสระ