วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2556

โพสต์โมเดิร์นนิสม์ Postmodernism


โพสต์โมเดิร์นนิสม์
ลัทธิหลังสมัยใหม่
Postmodernism


 postmodernism
              “โพสต์ โมเดิร์น” “หลังสมัยใหม่” ในภาษาอังกฤษคือ post-modern หรือบ้างก็เขียนว่า postmodern หรือ ลัทธิหลังสมัยใหม่ (Postmodernism, โพสต์โมเดิร์นนิสม์)
เป็นที่เข้าใจกันว่าคำว่า โพสต์โมเดิร์นนิสม์ ปรากฏขึ้นครั้งแรกในงานเขียนชื่อ “อาร์คิเทคเจอร์ แอนด์ เดอะ สปิริต ออฟ แมน” (Architecture and the Spirit of Man) ของ โจเซ็พ ฮัดนอท (Joseph Hudnot) ในปี 1949 ต่อมาอีก 20 ปีให้หลัง ชาร์ลส์ เจนส์ (Charles Jencks) ช่วยทำให้แพร่หลายออกไป จนกระทั่งในปลายคริสต์ทศวรรษ 1970 นักวิจารณ์ศิลปะเริ่มใช้คำๆนี้บ่อยขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นปกติ ในตอนนั้นคำว่า โพสต์โมเดิร์น ยังคลุมเครืออยู่มาก แต่โดยมากแล้วบ่งบอกถึงการต่อต้านลัทธิสมัยใหม่ (โมเดิร์นนิสม์)
นักทฤษฎีทั้งหลายเชื่อว่าการเปลี่ยนจากลัทธิสมัยใหม่ไปสู่ หลังสมัยใหม่ นั้นบ่งบอกถึง”สำนึก” ที่ตอบรับกับการเปลี่ยนแปลงในสังคมและระเบียบใหม่ทางเศรษฐกิจ บรรษัทข้ามชาติขนาดมหึมาได้ก้าวเข้ามาควบคุมวิถีชีวิตด้วยระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและสื่อมหาชนที่ทรงพลัง ซึ่งได้เข้ามาทำให้เขตแดนของประเทศชาติหมดความหมาย (ในแง่ของการถ่ายเททางข่าวสารข้อมูล อิทธิพลทางศิลปะและวัฒนธรรม) ตัวอย่างเช่น ภาพงานศิลปะในนิตยสารศิลปะที่สามารถเข้าถึงคนดูคนอ่านในระดับนานาชาติได้อย่างรวดเร็ว
\


              ลัทธิทุนนิยมในยุคหลังสมัยใหม่และหลังอุตสาหกรรมได้ทำให้ผู้บริโภคเกิดวิสัยทัศน์ใหม่ต่อประเด็นต่างๆในโลก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพรมแดนของโลกตะวันออกและตะวันตกที่ถูกกำหนดขึ้นหลังสงครามโลก ครั้งที่ 2 และเรื่องการปฏิวัติในด้านสิ่งแวดล้อมโลก ที่เริ่มขึ้นระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1960 ซึ่งเป็นตัวที่ทำให้การเส้นแบ่งแยกระหว่างลัทธิ “สมัยใหม่” กับ “หลังสมัยใหม่” ชัดเจนขึ้น
“หลังสมัยใหม่” เป็นสัญญานที่บ่งบอกถึงความเสื่อมศรัทธาใน “ความเป็นสมัยใหม่” หรือความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังสมัยใหม่ ไม่ได้ปฏิเสธเทคโนโลยีอย่างสุดขั้ว แต่ต่อต้าน “ความเจริญ” หรือ “ความก้าวหน้า” แบบลัทธิสมัยใหม่ที่ไม่สนใจ (หรือตอนนั้นยังไม่รู้) ผลกระทบที่รุนแรงต่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

Image and video hosting by TinyPic


              ความคิดเกี่ยวกับลัทธิ “สมัยใหม่” ต้องการขับเคลื่อนสังคมให้ก้าวไปสู่ความเป็นสังคมยุคอุตสาหกรรม แต่ “หลังสมัยใหม่” มีความปราถนาที่จะก้าวไปสู่ยุคอิเล็คโทรนิคมากกว่า หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 การทำงานศิลปะสมัยใหม่และทฤษฎีศิลปะต้องอยู่ในกฏเกณฑ์มากขึ้น มีกรอบที่ชัดเจนและแคบลงเกือบจะเหลือแค่ “ศิลปะกระแสหลัก” ที่เป็นแนวนามธรรมกระแสเดียว จากแนวคิดและรูปแบบของศิลปะลัทธิ มินิมอลลิสม์ (Minimalism) ที่ทำให้ศิลปินในช่วงนั้นกลับไปสู่ความเรียบง่ายอย่างถึงที่สุด จนเปรียบได้ว่ากลับไปที่เลขศูนย์เลยทีเดียว รูปทรงในศิลปะถูกลดทอนจนเปลือยเปล่า แทบจะไม่มีอะไรให้ดู





              การมองโลกในแง่ดีและความคิดในเชิงอุดมคติแบบลัทธิสมัยใหม่ต้องหลีกทางให้แก่ความรู้สึกที่ความหยาบกร้านและข้นดำของลัทธิ หลังสมัยใหม่
ศิลปะแบบ หลังสมัยใหม่ เติบโตขึ้นจาก พ็อพ อาร์ต (Pop Art), คอนเซ็ปชวล อาร์ต (Conceptual Art) และ เฟมินิสต์ อาร์ต (Feminist art) อันเป็นนวัตกรรมของศิลปินในยุคคริสต์ทศวรรษ 1960 และ 1970 โดยแท้ พวก หลังสมัยใหม่ ได้ทำการรื้อฟื้นรูปแบบ ประเด็นสาระ หรือเนื้อหาหลายอย่างที่พวกสมัยใหม่เคยดูหมิ่นและรังเกียจที่จะเข้าไปเกี่ยวข้อง โรเบิร์ต เว็นทูรี (Robert Venturi) สถาปนิกในยุค 1960 ได้เขียนแสดงความเห็นในงานเขียนที่ชื่อ “คอมเพล็กซิตี้ แอนด์ คอนทราดิคชัน อิน อาร์คิเทคเจอร์” (Complexity and Contradiction in Architecture) (ปี 1966) เกี่ยวกับ “หลังสมัยใหม่” เอาไว้ว่า “คือปัจจัย (ต่างๆ) ที่เป็น “ลูกผสม” แทนที่จะ “บริสุทธิ์”, “ประนีประนอม” แทนที่จะ “สะอาดหมดจด”, “คลุมเครือ” แทนที่จะ “จะแจ้ง”, “วิปริต” พอๆกับที่ “น่าสนใจ”
ด้วยกระแส ลัทธิหลังสมัยใหม่ ทำให้ศิลปะในแนวคิดนี้หันกลับไปหาแนวทางดั้งเดิมบางอย่างที่พวกสมัยใหม่ (ที่ทำงานแนวนามธรรม) ปฏิเสธไม่ยอมทำ เช่น การกลับไปเขียนรูปทิวทัศน์และรูปเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ และพวก หลังสมัยใหม่ ยังท้าทายการบูชาความเป็นต้นฉบับ ความเป็นตัวของตัวเองที่ไม่เหมือนใครของพวกสมัยใหม่ ด้วยการใช้วิธีการที่เรียกว่า “หยิบยืมมาใช้” (Appropriation, แอ็บโพรพริเอชัน) มาฉกฉวยเอารูปลักษณ์ต่างๆ จากสื่อและประวัติศาสตร์ศิลป์ มานำเสนอใหม่ในบริบทที่เปลี่ยนไปบ้าง ในเชิงวิพากษ์วิจารณ์บ้าง เสียดสีบ้าง



 

              ในแวดวงทฤษฎีเกี่ยวกับศิลปะ “หลังสมัยใหม่” ได้ยกเลิกการแบ่งแยกศาสตร์ต่างๆ เช่น การแบ่งศิลปวิจารณ์ สังคมวิทยา มานุษยวิทยา และสื่อสารมวลชนออกจากกัน โดยการนำเอาศาสตร์เหล่านั้นมาผสมร่วมกัน แล้วนำเสนอเป็นทฤษฎีหลังสมัยใหม่ เช่นงานทางความคิดของ มิเชล ฟูโค (Michel Foucault) ฌอง โบดริยารด์ (Jean Baudrillard) และ เฟรดริค เจมสัน (Fredric Jameson)
ปรากฏการณ์อย่างหนึ่งในกระแสศิลปะแบบ หลังสมัยใหม่ ในตะวันตกอย่างหนึ่งที่น่าสนใจคือ นิทรรศการศิลปกรรมย้อนหลัง สำหรับศิลปินที่ดังตั้งแต่อายุ 30 กว่าๆ ทำให้เกิดแรงกดดันต่อศิลปินในการที่จะต้องประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย ในหลายกรณีได้ทำให้เกิดการประนีประนอมระหว่างการ “ประสบความสำเร็จในอาชีพศิลปิน” กับ “อุดมการณ์ทางศิลปะ” ซึ่งปัญหาเหล่านี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับศิลปินในลัทธิสมัยใหม่เลย
                                                        

ขอบคุณแหล่งที่มา

http://www.designer.co.th/1359
เรียบเรียงโดย
รุ้งนภา  สุดสระ

ความคิดสมัยใหม่ Modernism


ความคิดสมัยใหม่ 

Modernism

  
              ความคิดสมัยใหม่ (Modernism, Modernity or Modernization) ตาม Habermas (1987) และ Barry Smart กล่าวเอาไว้ว่า เริ่มมีมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 5 มาจากภาษาละตินว่า “modernus = modern” เป็นการพยายามทำให้เกิดความแตกต่างกันใหม่ในชาวคริสต์ จากการนับถือศรัทธาพระเจ้าไปสู่สิ่งอื่น แล้วต่อมาไม่นาน ก็มีการพยายามทำให้เกิดความแตกต่างกันใหม่อีกในชาวคริสต์ จากการนับถือศรัทธาพระเจ้าไปแสวงหาความรู้จริงสิ่งสากล พยายามรู้เข้าใจสิ่งทั้งหลายในสากลโลกตามความเป็นจริง รู้เข้าใจสิ่งทั้งหลายด้วยจิตหรือปัญญา เพราะอิทธิพลแนวความความคิดของคานต์ (Kant’s conception of a universal history) เป็นกระบวนการความแตกต่างทางความคิดและวัฒนธรรมจากเก่าไปสู่ใหม่ (Turner, 1991: 3) เป็นการแสวงหาความรู้จริงของสิ่งต่างๆ ทั้งหลายตามการเปลี่ยนแปลงเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าของโลกทางสังคม เพราะความเป็นมาของสังคมนี้เชื่อศรัทธาในพระเจ้าเป็นผู้สร้างกำหนดบันดาล ไม่เชื่อมนุษย์และธรรมชาติคือผู้สร้างกำหนดแสดง



              แนวคิดใหม่ทันสมัย นักปราชญ์หรือนักคิดทางสังคมบางคนกล่าวบอกว่า ควรนับตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 14 เพราะเป็นยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ (Renaissance) แต่นักสังคมวิทยาส่วนใหญ่เห็นว่า แนวคิดใหม่ทันสมัย (Modernism) เป็นยุคประวัติศาสตร์ของสังคมยุโรปตะวันตก ที่เกิดการวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 เพราะในระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 16-17 เป็นยุคที่สนใจศึกษาค้นคว้าปรากฏการณ์ธรรมชาติแบบวิทยาศาสตร์ (Scientism) มาช่วยแก้ปัญหาสังคมทั้งหลายที่เกิดขึ้น แล้วส่งผลมีอิทธิพลต่อการศึกษาสังคมวิทยาแบบวิทยาศาสตร์ของคองต์ในเวลาต่อมา (Comte’s positivism) 




              ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 จึงถือได้ว่าเป็นยุคความคิดใหม่ทันสมัย  (Modernism) อันหมายถึงยุคสมัยให้ความสนใจในเรื่องศิลปะ วรรณคดี วิทยาการ สถาบัน  เหตุผล  การศึกษา เศรษฐกิจ การเมือง เทคโนโลยี วิทยาศาสตร์  รูปแบบของชีวิต ความจริงของชีวิตบนฐานของความเจริญเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก กล่าวคือเป็น ช่วงเวลาแห่งความเจริญทางวัตถุ ความมั่นคงทางสังคม และความรู้เข้าใจตนเอง (Material progress, social stability and self-realization) ในยุโรปตะวันตก มีอังกฤษ อเมริกา ฝรั่งเศส  อิตาลี เป็นต้น แม้มีปัจจัยต่างๆ มากมายที่ทำให้เกิดสมัยใหม่ ปัจจัยสำคัญเหล่านี้ คือ ความจริง (Truth) เหตุผล (Rationality) วิทยาศาสตร์ (Science) เทคโนโลยี (Technology) ผลของอุตสาหกรรม (Emergence of capitalism) การแผ่อำนาจทางตะวันตก (Western imperialism) การแพร่กระจายความรู้ และอำนาจทางการเมือง (Spread of literature and political power) การขับเคลื่อนทางสังคม (Social mobility)    เป็นสาเหตุสำคัญสนับสนุนส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงพัฒนาสังคมโลก ที่เรียกกันว่า “สมัยใหม่ความทันสมัย (Modernism)” เพราะผลของความเจริญทางการศึกษาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี อุตสาหกรรม และการขับเคลื่อนทางสังคม ทำให้มนุษย์ต้องการรู้เข้าใจตนเองและสังคมมากยิ่งขึ้นตามลำดับ ทำให้ต้องมาคิดใหม่ทำใหม่ เพื่อความถูกต้องดีงามแบบสากล แสดงความรับผิดชอบต่อสังคมโลกร่วมกัน เพื่อความรู้เข้าใจใหม่ร่วมกัน จึงขอลำดับเหตุการณ์การวิวัฒนาการแนวความคิดใหม่ทันสมัย



แหล่งที่มา






ผู้เรียบเรียง

 รุ้งนภา  สุดสระ

วันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2556

กบฎนักมวย (ศึกพันธมิตร 8 ชาติ)




กบฎนักมวย (ค.ศ. 1899 – 1901)
 
(ศึกพันธมิตร 8 ชาติ)

 

 
กบฏนักมวย (ค.ศ. 1899 – 1901) เป็นการรวมกลุ่มกันของ ชาวจีนผู้รักชาติ เนื่องจากในขณะนั้นต่างชาติได้เข้ามีอิทธิพลในจีน และได้ส่งกำลังทหาร และมิชชันนารีมาเผยแพร่คริสต์ศาสนา ทำให้ชาวจีนไม่พอใจเป็นอย่างมาก จึงเกิดกลุ่มกบฏนักมวยขึ้น โดยกลุ่มกบฏนักมวย จะฝึกกังฟู ซึ่งกลุ่มกบฏนักมวยเชื่อว่า จะสามารถต่อสู้กับต่างชาติที่เข้ามามีอิทธิพลในจีนได้ กลุ่มกบฏนักมวยได้สังหารมิชชันนารี ที่เข้ามาเผยแพร่คริสต์ศาสนา เผาโบสถ์ โดยได้รับการสนับสนุนจาก ซูสีไทเฮา





ภาพพิมพ์แกะไม้ญี่ปุ่นสมัยเมจิ แสดงเครื่องแบบทหารนานาชาติ
ที่เข้าร่วมปราบกบฏนักมวยพร้อมธงประจำทัพเรือของตน
ในปี 1900 (จากซ้ายไปขวา - แถวบน) อิตาลี, ออสเตรีย-ฮังการี, เยอรมนี, รัสเซีย (แถวล่าง) สหรัฐอเมริกา, ฝรั่งเศส,
ญี่ปุ่น, สหราชอาณาจักร
 
 
การเกิดจลาจลในจีน

เริ่มจากกรณีเรื่องที่ดินของวัดในการสร้างโบสถ์ โรมันคาทอลิก เนื่องจากฝ่ายมิชชั่นนารีอ้างว่าที่ดินเป็นของตน ตั้งแต่สมัยจักรพรรดิคังซีแล้วแต่ได้ถูกทิ้งร้างไปนาน ชาวบ้านในท้องถิ่นรู้สึกว่าข้อเรียกร้องไม่เป็นธรรมกับตน

เพราะเดิม เป็นวัดประจำหมู่บ้าน แต่ต้องมาสร้างโบสถ์ในวัดแทนที่ จึงเกิดจลาจลโดยชาวบ้านได้จับมิชชั่นนารี เป็นตัวประกันและทำลายโบสถ์นั้นเสีย

เนื่องจากจีนแพ้สงคราม จีน-ญี่ปุ่น จักรพรรดิกวางสู จึงทรงทำการปฏิรูปร้อยวัน ทำให้พระนางซูสีไทเฮาทรงเข้ายึดพระราชอำนาจแล้วนำจักรพรรดิกวางสูขังไว้ และร่วมมือกับกบฏนักมวย ซึ่งมีความคิดอนุรักษ์นิยมเช่นเดียวกับพระนาง

จน ประมาณเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1900 กบฏนักมวยได้ต่อสู้กับกองกำลังนานาชาติในเมืองเทียนจินและกรุงปักกิ่ง ทางสถานทูตสหราชอาณาจักร, ฝรั่งเศส, เบลเยี่ยม, เนเธอร์แลนด์, สหรัฐอเมริกา, รัสเซีย และญี่ปุ่น ที่อยู่ในสถานทูตในกรุงปักกิ่ง ได้นำกำลังมาปิดล้อมพระราชวังต้องห้าม

การกระทำเช่นนี้ ทำให้กบฏนักมวยสังหารบาทหลวงชาวเยอรมันชื่อ Klemens Freiherr von Ketteler ในวันที่ 20 มีนาคม ปี 1900 พระนางซูสีไทเฮา ประกาศสงครามกับชาวต่างชาติ ในวันที่ 21 มีนาคม ปี 1900 เพื่อเป็นการต่อต้านอำนาจของชาวต่างชาติ

แต่ พวกข้าหลวงตามหัวเมือง กลับปฏิเสธสงครามและพวกปัญญาชนในเมืองเซี่ยงไฮ้ ก็ยังได้ให้ความช่วยเหลือข้าหลวงในภาคตะวันออกเฉียงใต้ของจีน ที่ต่อต้านการประกาศสงครามด้วย

ส่วนกองกำลังนานาชาติ ได้ทำการป้องกันบริเวณสถานทูตของตนจากการโอบล้อมจากกบฏนักมวย ภายใต้คำสั่งของบาทหลวงชาวอังกฤษ เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อกบฏนักมวยบุกเข้าไปในกรุงปักกิ่งได้สังหารชาวจีนที่ เป็นคริสเตียนกว่าหนึ่งหมื่นคน

และจับกุมชาวต่างช่าติไปเป็นเชลย จำนวนมาก เรื่องการจลาจล ได้ลงในหนังสือพิมพ์ทั้งในจีน ญี่ปุ่น ยุโรปและอเมริกาจำนวนมาก แต่เชลยทั้งหมดก็ถูกปลดปล่อยโดยกองกำลังนานาชาติในที่สุด


กองกำลังนานาชาติ

กอง กำลังนานาชาติก่อตั้งขึ้นเมื่อทัพเรือ 8 ประเทศรวมตัวกันในชายฝั่งทะเลทางตอนเหนือของจีน ในปลายเดือนเมษายน ค.ศ. 1900 จนในวันที่ 31 พฤษภาคม ค.ศ. 1900 ได้เรียกร้องสิทธิชาวต่างชาติที่สถานทูตในกรุงปักกิ่งและได้ส่งทหารเรือ 435 นายจาก 5 ประเทศที่ฐานทัพที่ต้ากูไปกรุงปักกิ่ง


 


การบุกเมืองปักกิ่งครั้งแรก
ใน สถานการณ์ที่เลวร้าย กองกำลังนานาชาติที่อยู่บนเรือประมาณ 2,000 คน ภายใต้คำสั่งของนายพลเอ็ดเวิร์ด เซมอร์ ได้ส่งกำลังไปกรุงปักกิ่ง โดยการเดินทางจากท่าเรือต้ากูไปเมืองเทียนจินนั้น ได้รับความร่วมมืออย่างดีจากข้าหลวงเมืองเทียนจินเป็นอย่างดี

แต่ การเดินทางจากเทียนจินไปกรุงปักกิ่งนั้น มีการตรวจตราชาวต่างชาติอย่างเข้มงวด อย่างไรก็ตามนายพลเซมอร์ก็ยังเดินหน้าต่อไป และสามารถนำทหารเดินเท้าไปกรุงปักกิ่งสำเร็จจนได้

อย่างไรก็ดี กองทัพของเขาถูกฝ่ายนักมวยล้อม และทางรถไฟหลายสายถูกทำลาย ในที่สุดนายพลเซมอร์จึงตัดสินใจถอยทัพกลับเมืองเทียนจิน ในวันที่ 26 มิถุนายน ค.ศ. 1900
 


การบุกเมืองปักกิ่งครั้งที่สอง

หลัง จากนายพลเซมอร์ถอยทัพกลับเมืองเทียนจินแล้ว ทางกองกำลังนานาชาติจึงระดมกำลังทหารขึ้นมาใหม่ และในวันที่ 17 กรกฎาคม ปี 1900 กองกำลังนานาชาติ ได้สร้างป้อมปราการขึ้นใกล้เมืองเทียนจิน และท่าเรือต้ากูขึ้น

กองกำลังนานาชาติภายใต้คำสั่งของนายพลอัลเฟรด แกสลี ประมาณ 45,000 คน ประกอบด้วยกำลังจากญี่ปุ่น 20,840 คน รัสเซีย 13,150 คน สหราชอาณาจักร 12,020 คน ฝรั่งเศส 3,520 คน สหรัฐอเมริกา 3,420 คน เยอรมนี 900 คน อิตาลี 80 คน และออสเตรีย-ฮังการี 75 คน ได้ยึดเมืองเทียนจินในวันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ. 1900
 

Boxer Rebellion.jpg



แหล่งที่มา

http://www.clipmass.com/story/41316

http://www.thaichinese.net/History/history-modern4.html


เรียบเรียงโดย
 
รุ้งนภ  สุดสระ

วันพฤหัสบดีที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ประเทศเนปาล







    ประเทศเนปาล


ประวัติศาสตร์โดยย่อ

              ราชอาณาจักรเนปาลมีประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่าสองพันปี โดยเริ่มจากชนเผ่าKirates ในเขตหุบเขากาฐมาณฑุ ต่อมาในราวคริสตศตวรรษที่ 4 ตระกูล Lichhavis ได้ปกครองดินแดนนี้ โดยได้รับอิทธิพลฮินดูและพุทธจากอินเดีย ประวัติศาสตร์ปรากฏเด่นชัดขึ้น เมื่อราชวงศ์มัลละ (Malla) ได้ปกครองพื้นที่ทางตะวันตกของเนปาล และหุบเขากาฐมาณฑุ(Kathmandu Valley) ทั้งหมดในพุทธศตวรรษที่ 18 ถึง 21 ต่อมาราชอาณาจักรของราชวงศ์มัลละได้ถูกแบ่งออกเป็น 4 รัฐด้วยกัน คือ กาฐมาณฑุ บัคตาปูร์ ลาลิตปูร์ (ปาทาน) และกีรติปูร์

 

              ในราว พ.ศ. 2311 กษัตริย์ Prithivi Narayan Shah ต้นราชวงศ์ชาห์ในปัจจุบันได้สถาปนาราชอาณาจักร Gorkha โดยรวบรวมอาณาจักรของเนปาลเป็นอาณาจักรเดียว ต่อมาเนปาลได้รับชัยชนะในการทำสงครามกับผู้รุกราน อาทิ อังกฤษทางด้านอินเดีย และจีนทางด้านทิเบต ในช่วงนี้เนปาลปกครองโดยนายกรัฐมนตรีเป็นผู้บริหารประเทศในบรรดาศักดิ์ “Rana”ที่สืบทอดกับมาในตระกูล Shamsher ประมาณ 100 ปี ช่วงดังกล่าวกษัตริย์เป็นประมุขเพียงในนามเท่านั้น จนกระทั่ง พ.ศ. 2493 อำนาจในการบริหารประเทศจึงกลับคืนมาสู่กษัตริยอีกครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในรัชสมัยของสมเด็จพระราชาธิบดี Tribhuvan และในช่วงเวลาเดียวกัน พรรค Nepali Congress(NC) ได้ก่อตั้งขึ้นเป็นพรรคการเมืองพรรคแรกในเนปาล
 

               พ.ศ. 2502 สมเด็จพระราชาธิบดี Mahendra ได้ทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญ และได้จัดให้มีการเลือกตั้งโดยมี นาย B.P. Koirala หัวหน้าพรรค NC ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ใน พ.ศ. 2505 ได้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่กำหนดการปกครองระบบปัญจยาต ”(Panchayat System) หรือระบบรัฐสภาแบบสภาเดียวและไม่มีพรรคการเมือง
ช่วงต้นปี พ.ศ. 2533 มีการชุมนุมประท้วงและก่อการจลาจลเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยแบบมีพรรคการเมืองหลายพรรค(multi - party system)โดยมีการแทรกแซงจากต่างชาติโดยเฉพาะอินเดีย เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2533 สมเด็จพระราชาธิบดีBirendra ทรงประกาศยกเลิกข้อห้ามที่มิให้มีพรรคการเมืองและประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2533 โดยพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของประเทศภายใต้รัฐธรรมนูญ (Constitutional Monarchy) มีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร
กษัตริย์องค์ปัจจุบัน คือ สมเด็จพระราชาธิบดี Gyanendra เป็นกษัตริย์แห่งราชวงศ์ชาห์ พระองค์ที่ 13 ขึ้นครองราชย์ เมื่อ 4 มิถุนายน 2544 ภายหลังโศกนาฎกรรมที่เกิดเหตุการณ์ลอบปลงพระชนม์หมู่ สมเด็จพระราชาธิบดี Birendra และพระราชวงศ์ เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2544
 
มาทำความรู้จักกับเนปาลกันเถอะ
              ราชอาณาจักรเนปาล (Kingdom of Nepal) เป็นประเทศในเอเชียใต้ ตั้งอยู่ระหว่างอินเดียกับทิเบตในหุบเขาทางด้านใต้ของเทือกเขาหิมาลัย มีขนาดเพียง 147,181 ตารางกิโลเมตร หรือเพียงประมาณ 1 ใน 3 ของขนาดในประเทศไทย และเป็นเพียง 1 ใน 15 ประเทศทั่วโลกที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล มีกรุงกาฐมาณฑุเป็นเมืองหลวง



จุดเด่นของเนปาล
 
              นักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบธรรมชาติและอารยธรรมเก่าแก่ เนื่องจากดินแดนนี้ มีความหลากหลายทางภูมิศาสตร์ นักท่องเที่ยวสามารถชื่นชมเทือกเขาหิมะ และยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก 8 ยอด จากจำนวน 14 ยอด รวมทั้งยอดเขาเอเวอร์เรสต์ที่สูง ที่สุดในโลก ไปจนถึงป่kดงดิบทางตอนใต้ เช่น ที่เมืองจิตวัน ที่นักท่องเที่ยวสามารถสนุกสนานกับการเที่ยวป่า และดูสัตว์ป่าที่หาได้ยาก นอกจากนี้ อารยธรรมหลายพันปีของอาณาจักรฮินดู ก็ยังมีหลงเหลือให้เห็นอยู่ตามสถาปัตยกรรมเก่าแก่ที่มีกระจายอยู่ทั่วประเทศ ทางตอนใต้ของเนปาลใกล้กับชายแดนอินเดียยังมีเมืองลุมพินี ซึ่งเป็นสถานที่ประสูติของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยแต่ละปีจะมีชาวพุทธจากทั่วโลกหลั่งไหลไปจาริกแสวงบุญที่นี่เป็นจำนวนมาก
      
ภูมิอากาศ
 
          มีอากาศที่แตกต่างกันมากในระหว่างปี โดยฤดูหนาวจะอยู่ในช่วงเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ ฤดูใบไม้ผลิอยู่ในระหว่างเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ฤดูร้อนอยู่ในช่วงเดือนมิถุนายน-สิงหาคม และฤดูใบไม้ร่วงอยู่ในระหว่างเดือนกันยายน-พฤศจิกายนช่วงที่เหมาะสำหรับการท่องเที่ยวมากที่สุดอยู่ระหว่างเดือนตุลาคม-มีนาคม สำหรับในกรุงกาฐมาณฑุ โดยปกติจะมีอุณหภูมิระหว่าง 2-3 องศาเซลเซียส ในฤดูหนาว และ 10-22 องศาเซลเซียส ในฤดูร้อน และมีอุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปีประมาณ 11 องศาเซลเซียส
 

ประชากร
              ในเนปาลมีประมาณ 27.1ล้านคน ส่วนใหญjยากจนและมีอาชีพทางเกษตรกรรม มีศาสนาฮินดูเป็นศาสนาประจำชาติ


 

 
ระบอบการเมืองการปกครองของเนปาล
 
              มีความใกล้เคียงกับไทยมาก กล่าวคือ มีองค์พระมหากษัตริย์เป็นประมุขของชาติ ภายใต้รัฐธรรมนูญ มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา และมีหลายพรรคการเมือง



ภาษา
 
              เนปาลีเป็นภาษาประจำชาติ แต่ชาวเนปาลจำนวนไม่น้อยสามารถสื่อสารกับชาวต่างชาติได้ด้วยภาษาอังกฤษ จึงทำให้ภาษาไม่เป็นอุปสรรคมากจนเกินไปนัก สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสเนปาล
สถานที่ท่องเที่ยว
 
              เนปาลเป็นประเทศที่มีสถานที่ท่องเที่ยวอยู่มากทั้งทางด้านธรรมชาติและศิลปะ-วัฒนธรรม รวมทั้งประเทศหนึ่งที่นักเดินป่า-ไต่เขา-ล่องแก่ง โปรดปราน สำหรับจุดท่องเที่ยวต่าง ๆ อาจพอกล่าวเป็นสังเขปได้ดังนี้


 
กรุงกาฐมาณฑุ (เมืองหลวง)

   
              โบราณสถานทางศาสนาฮินดู และพระราชวังโบราณ เช่น Hanuman Dhoka, Kumari Chowk หรือ Kumari Bahal (House of the Living Goddess) สวายัมภูนาถ หรือ Monkey Temple และวัด Pashupatinath ซึ่งเป็น
สถานที่เผาศพของชาวฮินดู เป็นต้น
 
เขตรอบเมืองกาฐมาณฑุ Durbar Square (ลานพระราชวัง) ของเมือง Patan และเมือง Bhaktapur ซึ่งมีความวิจิตรอลังการของศิลปะและสถาปัตยกรรมของวัฒนธรรมเนวารี นอกจากนี้ ยังมีเมือง Dhulikhel, Nagarkot เป็นสถานที่ชมเทือกเขาหิมาลัย
 

สภาพอากาศในกรุงกาฐมาณฑุ
              มีฝุ่นและมลภาวะสูง เนื่องจากตั้งอยู่ในหุบเขา ดังนั้นอากาศเสียที่เกิดจากโรงงานเผาอิฐ ทอพรม และควันพิษจากท่อไอเสีย จึงไม่สามารถลอยออกไปจากหุบเขาได้ ในฤดูแล้งประชาชนจะประสบภาวะขาดแคลนน้ำประปาเป็นอันมาก นอกจากนี้ เนปาลยังประสบกับภาวะการขาดแคลนพลังงานไฟฟ้า ในบางครั้งทางการจึงต้องประกาศปิดไฟฟ้าทุกวัน ๆ ละ 1-2 ชั่วโมง โดยหมุนเวียนไปในแต่ละพื้นที่
 
 
เมืองจานักปูร์
 
              ตั้งอยู่ที่ภาคใต้ของเนปาล เป็นเมืองในหนังสือพระราชนิพนธ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เรื่อง"พระมหาชนก" มีความสำคัญทางศาสนาฮินดูและมีศิลปกรรมดั้งเดิม คือ Mithila Art เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงปรากฏอยู่ในหนังสือรามเกียรติ์ ประวัติของพระราม พระลักษณ์ นางสีดาและหนุมาน อยู่ที่เมืองนี้
 
 
สภาพความเป็นอยู่
            
 
              ระบบสาธารณสุขมูลฐานของเนปาลยังไม่ดีนัก การรับประทานอาหารและน้ำดื่มจะระมัดระวังในเรื่องความสะอาดเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ เนปาลยังขาดแคลนเครื่องอุปโภค-บริโภค สินค้าส่วนใหญ่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากอินเดีย และจีน สำหรับอาหารที่หาง่ายที่สุดคือ เนื้อไก่ สำหรับเนื้อหมูนั้นไม่เหมาะสำหรับการบริโภค เนื่องจากการเลี้ยงไม่ถูกสุขลักษณะ อาหารทะเลมีน้อยมาก นำเข้ามาจากอินเดียและบังกลาเทศโดยการแช่แข็ง และโดยที่เนปาลเป็นประเทศฮินดู การบริโภคเนื้อวัวจึงเป็นเรื่องผิดกฎหมา

 
วัฒนธรรม - ประเพณี
              คนเนปาลส่วนใหญ่จิตใจดี และใจเย็นเช่นเดียวกับคนไทย ชาวเนปาลถือว่าการใช้เท้าเป็นเรื่องไม่สุภาพเช่นเดียวกับการใช้มือซ้าย การให้และรับของจากผู้อื่นจึงใช้มือขวา อย่างไรก็ดี ภาษากายที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงระหว่างคนไทยกับคนเนปาล ซึ่งสร้างความสับสนงุนงงให้แก่ผู้เพิ่งไปถึงใหม่ ๆ คือ " การส่ายหน้า " สำหรับคนไทย การส่ายหน้าหมายถึงการปฏิเสธ แต่สำหรับคนเนปาลการส่ายหน้าคล้ายการโคลงศีรษะเพียงรอบเดียว คือสัญญาณการตอบรับ การผูกมิตรกับชาวเนปาลนั้นไม่ยาก การพนมมือพร้อมกับกล่าวคำว่า " นมัสเต " มีความหมายเช่นเดียวกับคำว่า " สวัสดี " ของไทย
                                             
     
 


 



เรียบเรียงโดย


นางสาวรุ้งนภา สุดสระ 
                                                                                                                                                                     
 
 

 
 แแหล่งที่มา