ประเทศเนปาล
ประวัติศาสตร์โดยย่อ
ราชอาณาจักรเนปาลมีประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่าสองพันปี
โดยเริ่มจากชนเผ่าKirates ในเขตหุบเขากาฐมาณฑุ
ต่อมาในราวคริสตศตวรรษที่ 4 ตระกูล Lichhavis ได้ปกครองดินแดนนี้ โดยได้รับอิทธิพลฮินดูและพุทธจากอินเดีย ประวัติศาสตร์ปรากฏเด่นชัดขึ้น
เมื่อราชวงศ์มัลละ (Malla) ได้ปกครองพื้นที่ทางตะวันตกของเนปาล
และหุบเขากาฐมาณฑุ(Kathmandu Valley) ทั้งหมดในพุทธศตวรรษที่
18 ถึง 21 ต่อมาราชอาณาจักรของราชวงศ์มัลละได้ถูกแบ่งออกเป็น
4 รัฐด้วยกัน คือ กาฐมาณฑุ บัคตาปูร์ ลาลิตปูร์ (ปาทาน)
และกีรติปูร์

พ.ศ. 2502 สมเด็จพระราชาธิบดี Mahendra
ได้ทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญ และได้จัดให้มีการเลือกตั้งโดยมี นาย
B.P. Koirala หัวหน้าพรรค NC ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ใน พ.ศ. 2505 ได้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่กำหนดการปกครอง“
ระบบปัญจยาต ”(Panchayat System) หรือระบบรัฐสภาแบบสภาเดียวและไม่มีพรรคการเมือง
ช่วงต้นปี พ.ศ. 2533 มีการชุมนุมประท้วงและก่อการจลาจลเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยแบบมีพรรคการเมืองหลายพรรค(multi
- party system)โดยมีการแทรกแซงจากต่างชาติโดยเฉพาะอินเดีย เมื่อวันที่
8 เมษายน 2533 สมเด็จพระราชาธิบดีBirendra
ทรงประกาศยกเลิกข้อห้ามที่มิให้มีพรรคการเมืองและประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่เมื่อวันที่
1 พฤศจิกายน 2533 โดยพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของประเทศภายใต้รัฐธรรมนูญ
(Constitutional Monarchy) มีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร
กษัตริย์องค์ปัจจุบัน คือ สมเด็จพระราชาธิบดี Gyanendra เป็นกษัตริย์แห่งราชวงศ์ชาห์ พระองค์ที่ 13 ขึ้นครองราชย์
เมื่อ 4 มิถุนายน 2544 ภายหลังโศกนาฎกรรมที่เกิดเหตุการณ์ลอบปลงพระชนม์หมู่
สมเด็จพระราชาธิบดี Birendra และพระราชวงศ์ เมื่อวันที่ 1
มิถุนายน 2544
มาทำความรู้จักกับเนปาลกันเถอะ
ราชอาณาจักรเนปาล
(Kingdom of Nepal) เป็นประเทศในเอเชียใต้
ตั้งอยู่ระหว่างอินเดียกับทิเบตในหุบเขาทางด้านใต้ของเทือกเขาหิมาลัย มีขนาดเพียง 147,181
ตารางกิโลเมตร หรือเพียงประมาณ 1 ใน 3 ของขนาดในประเทศไทย และเป็นเพียง 1 ใน 15 ประเทศทั่วโลกที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล มีกรุงกาฐมาณฑุเป็นเมืองหลวง
จุดเด่นของเนปาล
ภูมิอากาศ
มีอากาศที่แตกต่างกันมากในระหว่างปี
โดยฤดูหนาวจะอยู่ในช่วงเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์
ฤดูใบไม้ผลิอยู่ในระหว่างเดือนมีนาคม-พฤษภาคม
ฤดูร้อนอยู่ในช่วงเดือนมิถุนายน-สิงหาคม
และฤดูใบไม้ร่วงอยู่ในระหว่างเดือนกันยายน-พฤศจิกายนช่วงที่เหมาะสำหรับการท่องเที่ยวมากที่สุดอยู่ระหว่างเดือนตุลาคม-มีนาคม
สำหรับในกรุงกาฐมาณฑุ โดยปกติจะมีอุณหภูมิระหว่าง 2-3 องศาเซลเซียส ในฤดูหนาว และ 10-22 องศาเซลเซียส ในฤดูร้อน และมีอุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปีประมาณ 11 องศาเซลเซียส
ประชากร
ระบอบการเมืองการปกครองของเนปาล
มีความใกล้เคียงกับไทยมาก
กล่าวคือ มีองค์พระมหากษัตริย์เป็นประมุขของชาติ ภายใต้รัฐธรรมนูญ
มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา และมีหลายพรรคการเมือง
ภาษา
เนปาลีเป็นภาษาประจำชาติ
แต่ชาวเนปาลจำนวนไม่น้อยสามารถสื่อสารกับชาวต่างชาติได้ด้วยภาษาอังกฤษ
จึงทำให้ภาษาไม่เป็นอุปสรรคมากจนเกินไปนัก
สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสเนปาล
สถานที่ท่องเที่ยว
เนปาลเป็นประเทศที่มีสถานที่ท่องเที่ยวอยู่มากทั้งทางด้านธรรมชาติและศิลปะ-วัฒนธรรม
รวมทั้งประเทศหนึ่งที่นักเดินป่า-ไต่เขา-ล่องแก่ง โปรดปราน สำหรับจุดท่องเที่ยวต่าง
ๆ อาจพอกล่าวเป็นสังเขปได้ดังนี้
กรุงกาฐมาณฑุ (เมืองหลวง)
โบราณสถานทางศาสนาฮินดู
และพระราชวังโบราณ เช่น Hanuman Dhoka,
Kumari Chowk หรือ Kumari Bahal (House of the Living
Goddess) สวายัมภูนาถ หรือ Monkey Temple และวัด
Pashupatinath ซึ่งเป็น
สถานที่เผาศพของชาวฮินดู เป็นต้น
สถานที่เผาศพของชาวฮินดู เป็นต้น
เขตรอบเมืองกาฐมาณฑุ
Durbar Square (ลานพระราชวัง)
ของเมือง Patan และเมือง Bhaktapur ซึ่งมีความวิจิตรอลังการของศิลปะและสถาปัตยกรรมของวัฒนธรรมเนวารี
นอกจากนี้ ยังมีเมือง Dhulikhel, Nagarkot เป็นสถานที่ชมเทือกเขาหิมาลัย
สภาพอากาศในกรุงกาฐมาณฑุ
มีฝุ่นและมลภาวะสูง
เนื่องจากตั้งอยู่ในหุบเขา ดังนั้นอากาศเสียที่เกิดจากโรงงานเผาอิฐ ทอพรม
และควันพิษจากท่อไอเสีย จึงไม่สามารถลอยออกไปจากหุบเขาได้
ในฤดูแล้งประชาชนจะประสบภาวะขาดแคลนน้ำประปาเป็นอันมาก นอกจากนี้ เนปาลยังประสบกับภาวะการขาดแคลนพลังงานไฟฟ้า
ในบางครั้งทางการจึงต้องประกาศปิดไฟฟ้าทุกวัน ๆ ละ 1-2 ชั่วโมง โดยหมุนเวียนไปในแต่ละพื้นที่
ตั้งอยู่ที่ภาคใต้ของเนปาล เป็นเมืองในหนังสือพระราชนิพนธ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เรื่อง"พระมหาชนก" มีความสำคัญทางศาสนาฮินดูและมีศิลปกรรมดั้งเดิม คือ Mithila Art เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงปรากฏอยู่ในหนังสือรามเกียรติ์ ประวัติของพระราม พระลักษณ์ นางสีดาและหนุมาน อยู่ที่เมืองนี้
สภาพความเป็นอยู่
วัฒนธรรม
- ประเพณี
คนเนปาลส่วนใหญ่จิตใจดี
และใจเย็นเช่นเดียวกับคนไทย ชาวเนปาลถือว่าการใช้เท้าเป็นเรื่องไม่สุภาพเช่นเดียวกับการใช้มือซ้าย
การให้และรับของจากผู้อื่นจึงใช้มือขวา อย่างไรก็ดี
ภาษากายที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงระหว่างคนไทยกับคนเนปาล
ซึ่งสร้างความสับสนงุนงงให้แก่ผู้เพิ่งไปถึงใหม่ ๆ คือ " การส่ายหน้า "
สำหรับคนไทย การส่ายหน้าหมายถึงการปฏิเสธ
แต่สำหรับคนเนปาลการส่ายหน้าคล้ายการโคลงศีรษะเพียงรอบเดียว คือสัญญาณการตอบรับ
การผูกมิตรกับชาวเนปาลนั้นไม่ยาก การพนมมือพร้อมกับกล่าวคำว่า " นมัสเต
" มีความหมายเช่นเดียวกับคำว่า " สวัสดี " ของไทย

แแหล่งที่มา
Awesome place for "getting high With Nepal Planet Treks "”
ตอบลบWe have been to Poon hill this winter. It was quite cold in the morning until sun came out, but still about 50 people found their way up to watch the sunrise over the Annapurna’s and Dhaulagiri, two 8000 m peaks. If you go later in the day there is no one there to charge you, in the morning (and probably evening, too) there is a small fee. Thank you Sanjib
Nepal Planet Treks and Expedition
http://www.nepalguideinfo.com
http://www.nepalplanettreks.com
http://www.nepalguideinfo.com/everest-base-camp-trek/
Awesome place for "getting high With Nepal Planet Treks "”
ตอบลบWe have been to Poon hill this winter. It was quite cold in the morning until sun came out, but still about 50 people found their way up to watch the sunrise over the Annapurna’s and Dhaulagiri, two 8000 m peaks. If you go later in the day there is no one there to charge you, in the morning (and probably evening, too) there is a small fee. Thank you Sanjib
Nepal Planet Treks and Expedition
http://www.nepalguideinfo.com
http://www.nepalplanettreks.com
http://www.nepalguideinfo.com/everest-base-camp-trek/